วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฝรั่งมองไทย:เศรษฐกิจ-ประชาธิปไตยพอเพียง มายาคติของคนละประเทศไทยเดียวกัน!!


โดย วารสารฟ้าเดียวกันที่มา เวบฟ้าเดียวกัน 8 สิงหาคม 2551

หมายเหตุ:บางส่วนจาก วารสารฟ้าเดียวกัน สัมภาษณ์ แอนดรูว์ วอล์กเกอร์ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียที่ได้ทำการศึกษาวิจัยในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย และได้ให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมา ปราศจากอคติทั้งเพราะชอบ เพราะชังมากที่สุดแล้ว เรื่องที่เขาให้สัมภาษณ์เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพอเพียง ประชาธิปไตยพอเพียง และธรรมนูญของชาวบ้านในชนบท


-ปัญหาหลักๆ ของเศรษฐกิจพอเพียงคือมันไม่ยอมรับความต้องการของคนเหล่านี้ เศรษฐกิจพอเพียงบอกให้คนอย่าอยากได้โทรทัศน์ คุณไม่ควรอยากที่จะส่งลูกไปเรียนมหาวิทยาลัย คุณควรจะพึงพอใจกับชีวิตชนบทที่เรียบง่าย ผมว่านี่คือสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดยพื้นฐานในเศรษฐกิจพอเพียง คือไม่ยอมรับความต้องการของผู้คน และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกโกรธเล็กน้อยก็คือปรัชญานี้ถูกโฆษณาส่งเสริมโดยคนที่ร่ำรวยมหาศาล มันไม่เข้าท่าผมว่าเป็นเรื่องดัดจริต


-ผมคิดว่าเท่าที่ผ่านมามันแทบไม่ประสบความสำเร็จเลย บางทีผมก็คิดว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 นั้นเป็นจุดจบของเศรษฐกิจพอเพียง ประชาชนออกเสียงไม่เอาเศรษฐกิจพอเพียง


-ผมคิดว่าชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จำเป็นที่จะต้องมีสำนึกประเภทที่ว่าเรามีวัฒนธรรมไทยที่มีศีลธรรมชนิดที่เป็นของแท้ดั้งเดิมอยู่จริงๆ พวกเขาต้องการไปห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน นั่งรถไฟฟ้า ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการปลอบใจตัวเองว่าวัฒนธรรมไทยที่มี ศีลธรรมขนานแท้นั้นมีอยู่ที่ไหนสักแห่ง พวกเขาจึงโยนไปที่ชนบทในแง่หนึ่งพวกเขาต้องการโยนภาระทางศีลธรรมไปไว้กับชนบทไทย เพื่อพวกเขาจะดำเนินชีวิตบริโภคนิยมต่อไปได้ มีการวิจารณ์มากมายเกี่ยวกับกองทุนหมู่บ้านของรัฐบาลทักษิณว่าสนับสนุนให้ ชาวบ้านเป็นหนี้ แต่แทบไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์หนี้บัตรเครดิตในกรุงเทพฯเลย คนกรุงเทพฯ จับจ่ายใช้สอยจนเต็มวงเงินบัตรเครดิต แต่กลับพูดกันแต่เรื่องชาวนาซื้อโทรศัพท์มือถือ พวกเขาโยนแรงกดดันด้านศีลธรรมนี้ไปให้ชาวบ้าน


-ประชาธิปไตยพอเพียงก็คืออำนาจที่มาจากการเลือกตั้งควรมีจำกัด ระบบการเมืองไม่ควรอิงกับอำนาจจากการเลือกตั้งเพียงลำพัง อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งควรถูกจำกัดโดยอำนาจศาลและอำนาจระบบราชการ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองอำนาจนี้เชื่อมโยงกับอำนาจของกษัตริย์ เศรษฐกิจพอเพียงบอกว่าคุณไม่ควรไปข้องเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจภายนอกมากนัก ส่วนประชาธิปไตยพอเพียงบอกว่าคุณควรจำกัดการข้องเกี่ยวกับระบบการเมือง คุณไปออกเสียงเลือกตั้งได้ แต่คนที่คุณเลือกจะถูกกระหนาบโดยศาล โดยวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง โดยอำนาจต่างๆ ของราชการ ผู้พิพากษา และองคมนตรี ทั้งเศรษฐกิจพอเพียงและประชาธิปไตยพอเพียงมีหลักการเดียวกันคือจำกัดประชาชนให้เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องท้องถิ่นของตัวเองเท่านั้น


-ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการท้าทายวาทกรรมการซื้อเสียงที่ครอบงำอยู่ เวลาคนพูดถึงการเมืองในชนบทของไทย มีแนวโน้มที่จะพูดเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่ผมพยายามเสนอแนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญชาวบ้านด้วยการบอกว่าชาวบ้านไม่ใช่เอาแต่ขายเสียง พวกเขาตัดสินใจบนฐานคุณค่าทางการเมืองอีกชุดหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมต้องการบอกคือว่า เราจำเป็นต้องทำ ความเข้าใจว่าคุณค่าทางการเมืองของชาวบ้านคืออะไร ไม่ใช่แค่ปัดไปง่ายๆ ว่าชาวบ้านขายเสียง


-รายงานจากหมู่บ้านที่ผมทำวิจัยอยู่บอกว่าชาวบ้านแค่ไม่เชื่อถือพรรคประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ไม่มีเครดิตว่าจะทำตามที่หาเสียงไว้จริงๆ ชาวบ้านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีศรัทธาหรือความไว้วางใจต่อประชาธิปัตย์ มันมีความรู้สึกว่าแม้นโยบายบนกระดาษจะดูไม่แตกต่างกันมาก แต่คนมีความเชื่อมั่นในพลังประชาชนหรือไทยรักไทย


เวบลิ้งค์:ฟ้าเดียวกัน http://www.sameskybooks.org/2008/08/07/aw-1/

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เหยื่อ..

บ้านเมืองที่วุ่นวายทุกวันนี้ก็เพราะคนเพียงไม่กี่คน..ที่อยู่ในระดับชนชั้นบนของสังคม...

ถึงวันนี้เมื่อบรรดาผู้ชี้นำทางความคิดของสังคมต่างออกมาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันโดยอ้างว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนทั้งสองฝ่าย..ไม่ว่าจะเป็น"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"(พธม.)หรือฝ่ายตรงข้าม..อย่าง..รัฐบาล"สมัคร สุนทรเวช"ที่ถูกแทนค่าจาก พธม.ว่าเป็น"รัฐบาลเถื่อน"หรือ"รัฐบาลนอมีนี"

ทุกคนที่กำลังปู้ยีปู้ยำประเทศไทยกันอย่างสนุกมือ...เชื่อแน่ว่าต่างรู้สาแก่ใจว่าตัวเองนั้น..ต้องการอะไรกันแน่..คำว่า"รักชาติ"รักสถาบัน หวงแหนทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน..ไม่ต้องการให้มีใครมาฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น..หลายคนที่พูด..ต่างก็น่าจะรู้สาแก่ใจว่าท่านๆที่ยืนเด่นเป็นสง่าบนเวทีเหล่านั้น..เคยทรยศชาติ..ผลาญสมบัติชาติ..ทุจริต..กัดกินผลประโยชน์จาก"นายทุน"นักการเมือง..ราวกับพวก"ฮายีน่า"มาแล้วหลายคน..

หลายคน เชื่อว่าน่าจะรู้สาแก่ใจ..ว่า..กำลังทำอะไรอยู่บนเวทีเหล่านั้น..หากทว่า..สถานการณ์ของ"ชีวิต"ที่ยังต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจของ"นายทุน"ทำให้หลายต่อหลายคนยอมจำนน..กับการรับ"ค่าจ้าง"ในฐานะลูกจ้างผันตนจากความเป็น"สื่อมวลชน"มาเป็นนัก"ปลุกระดม"..จะผิดถูกช่างมันค่อยมาว่ากันภายหลัง แต่เฉพาะหน้าต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จ..เพื่อธุรกิจของ"นาย"จะดำเนินต่อไปข้างหน้า..โดยไม่มีอุปสรรค..และจะไม่มีใรกล้าขัดขวางเส้นทางในอนาคต..ซึ่งก็หมายถึงความรุ่งโรจน์และความสบายของพวกเขา..อย่างอื่นวางไว้ก่อน..

บัดนี้ หลายฝ่าย หลายคน ได้เดินทางมาไกลเกินกว่าที่จะกล้าหันหลังกลับเสียแล้ว..สถานการณ์ที่วางไว้..ในระดับ"แกนนำ"ที่ต้องการ..ให้ประเทศชาติบังเกิดบาดแผลอีกคราครั้ง..กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นท้าทาย..ภายใต้กระบวนยุทธ์ที่..ตัวละครสนับสนุน..มีจำนวนมาก..ทั้งที่มาโดยสมัครใจ และที่มาโดยเสียมิได้..ภายใต้ภาวะของ"ความชอบธรรม"เมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายที่หากใคร"แหลม"ออกมาเป็น"โดน"หมดอนาคต..จากข้อกล่าวหา และแรงกดดันหลายมิติ..

สถานการณ์แบบนี้เองที่..นักวิชาการ(ที่รักชาติจริงๆ)หลายท่านแสดงความเป็นห่วงว่าจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง..การจราจล ความวุ่นวาย และการถอยหลังกลับแบบหัวทิ่มหัวตำของประเทศไทย..

สถานการณ์แบบนี้เอง..ที่..หลายคนพยายามเรียกร้องให้ทุกฝ่าย"ตั้งสติ"ถอยกลับออกมาจาก"ม็อบ"จากวงในความขัดแย้งในสมรภูมิราชดำเนิน มัฆวาฬ สนามหลวง หรือที่ต่างๆใน ต่างจังหวัด..ถอยออกมาจาก"มายาภาพ"ที่ได้รับผ่านสัญญาน ASTV หรือ NBT และสื่อต่างๆ แล้วตั้งสติดีๆ ทบทวน และทบทวนให้ชัดๆย้อนหลังกลับไป..พิเคราะห์ปรากฎการณ์ที่ผ่านมา..พิเคราะห์ในตัวละคร..แต่ละคน ใครเป็นใคร..พิเคราะห์ตัวเราเอง..ฯลฯ..แล้วจะพบว่า..

เรากำลังกลายเป็น"เหยื่อ"เอาคิดพาดเตรียมสังเวย"กีโยติน"แห่งอำนาจ..ของบรรดา"ชนชั้นนำ"ทั้งหลาย..ที่กำลังใช้ประชาชนเป็น"ตัวประกัน"ในการห้ำหั่นแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ในประเทศชาติ....

ทางแก้คือ"ประชาชน"ทุกคนต้อง ตั้งสติ..แล้วตัดสินใจ..ว่าจะยอมเป็น"เหยื่อ"ที่อยู่ในสถานการณ์ที่คนกลุ่มน้อยเหล่านี้หาประโยชน์ด้วยการ"ควบคุม"โดยไร้กฎเกณฑ์ใดๆทางกฎหมายเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา หรือจะเป็น"นาย"ในสถานการณ์เหล่านี้..

รัฐจัดงานคนไทยสามัคคี/ผวา๙ส.ค.อันตราย/อดีตทปท.ใต้เคลื่อน/ระวังบึ้มกรุง

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานความเคลื่อนไหวการเมืองการทหาร..กรณี"นายกสมัคร"ระบุในรายการสนทนาประสาสมัคร(๓ส.ค.๕๑)ว่าจะมีการจัดงาน"จากวันแม่ถึงวันพ่อ"เพื่อสร้างความสามัคคีของคนไทยในชาติ..ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ส.ค.ไปจนถึงวันที่ ๕ ธันวาคม โดยให้มีการเดินวิ่งเทิดพระเกียรติของประชาชนทุกหมู่เหล่าเพื่อถวายความจงรักภักดีโดยให้รู้รักสามัคคีทั่วประเทศ..ซึ่งงานดังกล่าวมี"สมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร"เป็นประธานในพิธีมอบธงสัญลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯพร้อมมีการจัดทำสายลิสแบรนด์ไขว้สัญลักษณ์พ่อ-แม่ของแผ่นดิน..นั้นมีความเชื่อมโยงกับปรากฎการณ์การปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา(๒ส.ค.)ท่ามกลางข่าวลือว่ามีปัญหาตีกลับเพราะชื่อของ"พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ"อดีต ผบ.ตร.และรวมถึงปรากฎการณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรตั้งแต่วันศุกร์(๑ส.ค.)ที่พยายามกดดันฝ่ายนิติบัญญัติในวันเปิดสภาไม่ให้นำวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าพิจารณา..ที่รัฐบาลแก้เกมด้วยการเลื่อนไปวันที่ ๑๘ส.ค.๕๑ ..

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า"สมัคร"พยายามทำลายความชอบธรรมของพันธมิตร ด้วยการแฉผ่านรายการ ว่า ประเด็นการออกมาขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มุ่งเฉพาะมาตรา ๒๓๗,๓๙๐ หากแต่มุ่งขัดขวาง ม.๖๓ ที่มีการระบุถึงการให้สิทธิเสรีภาพการชุมนุม..ซึ่งเชื่อมโยงไปถึง..กระบวนการคำตัดสินของศาลในคดีที่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการไปร้องต่อศาล ในลักษณะเดียวกับที่ ครูอาจารย์โรงเรียนราชวินิตไปร้องขอความคุ้มครองจากศาลกรณี"ม็อบพันธมิตร"สร้างความเดือดร้อนรำคาญและส่งผลกระทบกับพวกเขา..โดยการที่"นายสมัคร"พยายามชูประเด็นนี้เพื่อเชื่อมโยงถึงการชุมนุมของพันธมิตรที่"ขีดเส้นตาย"ประจัญบาน รัฐบาลภายใน ๗ วัน กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ..

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า สมัคร ทราบดีว่า อีกฝ่ายพยายาม ทำลายฐานความเชื่อมั่น ในการเข้าถึงราชสำนักของตน..ซึ่งการปล่อยข่าวลือจากพันธมิตร และสื่อในสังกัดเพื่อทำให้หลายฝ่ายที่ให้การสนับสนุนอย่างลับๆกับ"สมัคร"ลังเลในการเลือกข้าง..โดยเฉพาะกรณี"พล.ต.อ.โกวิท"นั้น มีความสำคัญเชื่อมโยงไปถึง"ตท.๖"รุ่นของนายทหารที่ร่วมกันทำรัฐประหาร (๑๙ก.ย.๔๙)ภายใต้การนำของ"พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน"ผบ.ทบ.ขณะนั้น รวมถึง"พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก"ผบ.ทอ.ที่มีบทบาทเด่นชัด..และยังคงบทบาทคัดค้านไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลปัจจุบัน ในท่ามกลางถูกโจมตีในหลายประเด็นจาก"สื่อฝ่ายตรงข้าม"อย่างประชาทรรศน์,โลกวันนี้,บางกอกทูเดย์ฯลฯ

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า การจัดงานเทิดพระเกียรติในหลวง-ราชินีฯ ด้วยการรณรงค์ไปทั่วประเทศให้คนไทยสามัคคี ของรัฐบาลโดยมี"สมัคร"เป็นผู้อำนวยการจัดงาน เพื่อลบภาพความแตกแยกบาดหมางที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงในระดับที่ยากควบคุม ภายใต้การประเมินสถานการณ์ของหน่วยงานด้านความมั่นคง รวมถึงกองทัพ และ"หน่วยข่าว"ที่ได้รับรายงานตรงกันว่า เป้าหมายของผู้ที่อยู่"เบื้องหลัง"ของสถานการณ์ความขัดแย้ง จากการแบ่งขั้วแยกฝ่าย ที่จุดประทุอีกครั้งผ่านการเคลื่อนไหวของ"พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย"ใน พ.ศ.๒๕๕๑ นั้น มีการบริหารจัดการอย่างมีระบบ และมีกำหนดไว้แล้วว่า จะมีการสร้างสถานการณ์บางอย่างที่รุนแรงในวันที่ ๙ ส.ค.๕๑ โดยกลุ่มก่อการและผู้เกี่ยวข้องเชื่อว่า จะเกิดความวุ่นวายจนถึงวันที่ ๑๒ ส.ค.และพวกเขาจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ภายใต้การสูญเสีย"ความชอบธรรม"ในการบริหารประเทศของรัฐบาล"สมัคร"

@@"หน่วยข่าวลับ" รายงานว่าขณะนี้ได้มีความเคลื่อนไหวของกองกำลังของนักการใหญ่ชื่อ"ส."ที่ส่วนใหญ่เป็นอดีต ทปท. และทหารรับจ้าง ซึ่งถูกใช้ปฏิบัติการในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้..โดยระดับแกนนำสั่งการอยู่ใน จ.สตูล ได้เงินเดือนๆละ ๕ หมื่นบาท..มาเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว..เตรียมระดับกำลังหน่วยจรยุทธที่เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด..และการสร้างสถานการณ์..ขึ้นมาปฏิบัติการในพื้นที่"ศูนย์กลางอำนาจรัฐ"ที่กรุงเทพฯ..โดยกองกำลังดังกล่าวถูกระบุจากสายข่าวระดับสูง ว่า มีความเชื่อมโยงกับ"บิ๊ก คมช."ท่านหนึ่งที่เมื่อเร็วๆนี้ได้เดินทางลงไปที่ จ.สตูล ในห้วงที่มีการจัดประชุมวางแผนของกลุ่มดังกล่าว

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ที่รายงานการเคลื่อนไหวระดมอาวุธของกลุ่มต่างๆที่มีความเชื่อมโยง พคท.ในอดีต...ในหลายพื้นที่..ซึ่งปรากฎการณ์การจับกุม"หนุ่มใหญ่"ที่ขับรถพุ่งเข้าชนรั้วกั้นของพันธมิตร และพบอาวุธจำนวนมากนั้น..มีนัยยะของการส่งสัญญานจากบางฝ่าย ว่าขณะนี้"อดีตนายทหาร"ที่เชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับนายทหาร จปร.๗ ในพันธมิตรฯกำลังดำเนินการบางอย่างผ่านกองกำลังทหารของพวกเขาที่มีจำนวนมาก..ทั้งที่อยู่ในราชการและนอกราชการ..ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าว มีความเชื่อมโยงถึงกองกำลังจากอีสานใต้ภายใต้การควบคุมของ"พ."น้องชายของ"พ."ที่ คมช.เคยใช้งานช่วงการทำรัฐประหารด้วย..นอกจากนี้กลุ่มคนดังกล่าวยังมีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ระเบิด ๙ จุดที่เกิดขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และห้างต่างๆคืนวันที่ ๓๑ธ.ค.๔๙ด้วย..ซึ่งประเด็นนี้มีการเชื่อมโยงกับความพยายามสกัดขัดขวางไม่ให้"พล.ต.อ.โกวิท"ที่ทราบถึงเบื้องลึกในเหตุการณ์ดังกล่าวเข้ามาเป็นรองนายกฯด้านความมั่นคงในรัฐบาล"สมัคร"เพราะอาจนำไปสู่การรื้อเรื่องดังกล่าวขึ้นมาจัดการกับกลุ่มขบวนการและอาจโยงไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังระดับสูงได้...

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า ข้อมูลความเคลื่อนไหวข้างต้น สอดรับกับรายงานของหน่วยข่าว ห้วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ว่า ได้มีการประชุมของกลุ่มการเมือง ที่เชื่อมโยงกับ กลุ่มพันธมิตร สายพรรคการเมืองใหญ่ ในพื้นที่ภาคใต้ มีแกนนำจากจังหวัดชุมพร, สุราษฎร์ธานีและสงขลา(หาดใหญ่) โดยมี นาย"ช."อดีต เลขา นาย"ต."และคนสนิทของ"นาย ส." เป็นแกนนำ มีสมาชิกคนสำคัญของพรรคการเมืองใหญ่, อดีตแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ภาคใต้ และอดีตแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์มลายา เข้าร่วมประชุมสัมนาและวางแผนโค่นล้ม"รัฐบาลสมัคร"ของพรรคพลังประชาชนกันใหม่อีกครั้ง โดยจะใช้การเคลื่อนไหวจากภาคใต้และกรุงเทพเป็นศูนย์กลางสัญจรไปยังภาคกลาง-อีสานและภาคเหนือเพื่อก่อกวนให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนต้องลาออกแล้วให้พรรคประชาธิปัตย์ เข้าทำหน้าที่แทนเหมือนยุครัฐบาล"พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ"..รายงานชิ้นนี้ ยังพาดพิงถึง "นาย พ." หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของแกนนำพันธมิตรท่านหนึ่ง ว่า มีความเกี่ยวข้องกับกรณี"คาร์บอมบ์"ที่จรัญสนิทวงศ์ ซึ่งถูกเชื่อมโยงพยานหลักฐานว่าเกี่ยวข้อง ทำให้ต้องหนีไปติดต่อพรรคคอมมิวนิสต์มลายาให้ช่วยติดต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อจะขอลี้ภัยการเมืองไปประเทศจีน แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงขออาศัยหลบภัยแถวชายแดนไทย-มาเลย์และประเทศมาเลเซียแทน โดยขณะอยู่ที่นั่น ได้มีการรื้อฟื้นกองกำลังติดอาวุธ เตรียมระดมคนฝึกอาวุธขึ้นมาจำนวนหนึ่งด้วย...

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานว่า สาเหตุที่"พล.อ.อนุพงศ์"ส่ง"สารวัตรทหาร"เข้าไปดูแลพันธมิตรฯนั้น นอกจากเพื่อป้องกันสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดแทรกซ้อนโดยบุคคลที่สามแล้ว สาเหตุหลักมีความเชื่อมโยงกับข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองทางทหาร ที่ระบุตรงกับข้ออ้างของแกนนำพันธมิตร และ"พล.อ.ปฐมพงศ์ เกสรศุกร์"ที่ปรึกษา บก.สส.ว่ามีทหารจำนวนมากให้การสนับสนุนพันธมิตร และเข้ามาร่วมชุมนุมโดยไม่เปิดเผยตัว..ซึ่งรายงานนี้ สอดรับกับรายงานก่อนหน้านี้ว่ามีการจัดกำลังทหารจำนวนมากเข้ามาแทรกซึมอยู่ในพันธมิตรโดยเฉพาะในส่วนของ"การ์ดพันธมิตร"ที่เคยปะทะกับ"แนวร่วมต้านรัฐประหาร"นปก.นั้นหลายคนถูกระบุว่ามีสังกัด..ซึ่งการให้ "ส.ห."เข้าปฏิบัติการนั้นเป็นการปรามอยู่ในทีสำหรับกองกำลังที่อยู่ในราชการ..ในการที่จะคิดสร้างสถานการณ์ความรุนแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง..โดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคง..มีการเฝ้าระวังและจับตา"พล.อ.พัลลภ"อดีตนายทหาร จปร.๗ เป็นพิเศษเพราะเคยอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการเผาโรงพักนางเลิ้ง ในเหตุการณ์นองเลือด "พฤษภาทมิฬ"เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ๒๕๓๕ ในขณะที่ครั้งนั้นมี"พล.ต.จำลอง ศรีเมือง"อดีตทหาร จปร.๗เป็นแกนนำประชาชนในการต่อต้านรัฐบาล"พล.อ.สุจินดา"มาแล้วเช่นกัน..

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานสถานการณ์กำลังทางทหารว่า ขณะนี้กำลังของฝ่าย"พล.อ.อนุพงศ์"ภายใต้การให้การสนับสนุนจาก"ผู้ใหญ่"ยังคงมีจำนวนมากว่าอีกฝ่าย..ทำให้มีความพยายามลากดึงให้"พล.อ.อนุพงศ์"เข้ามาสนับสนุนพันธมิตรในทางภาพภายนอก..ในหลายมิติไม่ว่าจะเป็น สถาบันชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์..แต่"พล.อ.อนุพงศ์"ยังสามารถรักษาจุดยืนไม่สนับสนุนแนวทางการ"รัฐประหาร"อย่างหนักแน่นและพยายามไม่แสดงความเห็นใดซึ่งแตกต่างจาก"พล.อ.อ.ชลิต"ที่มีการออกมาให้ข่าวดังกล่าว..ซึ่งท่าทีดังกล่าวทำให้"ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่ง"ติดต่อผ่านบุคคลระดับสูงให้เข้าพบ แต่"พล.อ.อนุพงศ์"ยังคงยืนยันจุดยืน..

@@"หน่วยข่าวลับ"รายงานกรณีคดี"คุณหญิงนัทนนท์ ทวีสินธ์"อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร..ที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกรณีการจัดซื้อเรือ-รถดับเพลิง และกำลังถูกดำเนินคดี..นั้นมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการที่"คุณหญิงนัทนนท์"เป็น"กุญแจสำคัญ"ที่มีหลักฐานและล่วงรู้ถึงปฎิบัติการบางอย่างเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไป (ช่วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี อันอยู่ในช่วงหลังรัฐประหารที่มี คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติกุมสภาพ...)ในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ที่ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ระบุตรงในทุกจังหวัด แต่ในกรุงเทพมหานครกลับพลิกไปจากผลสำรวจทีจากเดิมพรรคพลังประชาชนจะได้ที่นั่งมากกว่า กลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งมากกว่า ..โดยกรณีดังกล่าวมีหลายฝ่ายได้ร้องเรียนไปยัง กกต.แล้ว..แต่ยังไม่มีการตรวจสอบในระดับลึก..ขณะที่มีรายงานจาก"วงใน"กรุงเทพฯมหานคร แจ้งว่า มีผู้พบเห็นการขนหีบบัตรและบัตรลงคะแนนจำนวนมากไปไว้ที่สนามกีฬานางเลิ้งและเตรียมที่จะทำการเผาทำลาย...